วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

พุทธประวัติ ตอน ๑๐ โปรดพระเจ้าพิมพิสาร กำเนิดวัดแรกในพระพุทธศาสนา

พุทธประวัติ ตอน ๑๐ โปรดพระเจ้าพิมพิสาร


เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอบรมปุราณชฎิล 
จนได้อุปสมบทและได้ฟังธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว 
ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะนั้นตามพระพุทธอัธยาศัยแล้ว 
ก็ได้ทรงนำภิกษุทั้งหมดนั้นเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมคธรัฐ

มคธรัฐ ปรากฏตามหลักฐานต่าง ๆ ว่า ในเวลานั้นเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมีอำนาจมาก 
เมืองหลวงเรียกกันโดยมากว่า ราชคหะ 
แต่ในภาษาไทยเรียกว่า ราชคฤห์ 
ในสมัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นนั้น 
พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า พิมพิสาร 
ในบาลีให้คำเรียกว่า ราชา มาคโธ เป็นคำยกย่อง 
เท่ากับเป็นมหาราชแห่งแคว้นมคธ 
และได้คำนำพระนามว่า เสนิโย คือมีคำต่อไปว่า เสนิโย พิมฺพิสาโร
เป็นคำไทยว่า พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นจอมทัพ

ปรากฏเรื่องว่า กรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นนครหลวงนั้น 
ตั้งอยู่ในระหว่างภูเขา ๕ ลูก คือ เขาคิชฌกูฏ เขาเวภาระ เขาเวปุลละ เขาอิสิคิลิ และ เขากาลกูฏ 
ล้อมรอบคล้ายเป็นคอก
เพราะฉะนั้น จึงมีคำเรียกอีกคำหนึ่งว่า คิริพพชะ แปลว่า คอกเขา
เมืองหลวงเดิมว่าตั้งอยู่บนเนินเขา แต่ว่าถูกไฟไหม้บ่อย ๆ 
พระเจ้าพิมพิสารจึงย้ายลงมาตั้งที่เชิงเขาข้างล่างซึ่งเป็นที่ราบ 
แต่ก็ยังอยู่ในระหว่างภูเขาทั้ง 5 นั้น 
ต่อมาปลายสมัยพุทธกาล 
พระเจ้าอชาติศัตรูจึงได้ไปสร้างเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่ง 
ภายนอกจากวงล้อมของเขาทั้ง 5 ลูกนั้นทางทิศเหนือ 
กรุงราชคฤห์เจริญมีคนมาก คณาจารย์เจ้าลัทธิไปอาศัยอยู่มาก 
และก็ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินก็ได้ทรงอุปถัมภ์ลัทธิต่าง ๆ ตามควร 
หรือไม่อุปถัมภ์ก็ไม่ทรงเบียดเบียน 
ปล่อยให้มีความสะดวกในการที่จะแสดงลัทธิของตน ๆ 
ในสมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ทรงได้แคว้นกาสิกคามเป็นของขวัญจากแคว้นโกศล 
ในคราวทรงอภิเษกกับพระราชกนิษฐภคินีของพระเจ้าปเสนทิแห่งแคว้นโกศล

พระพุทธเจ้าได้เสด็จมุ่งไปสู่กรุงราชคฤห์ก่อน 
อย่างหนึ่งว่า เพื่อทรงเปลื้องปฏิญญา ในขณะที่เสด็จไปลองทรงศึกษาบ้าง 
ทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เองบ้าง เพื่อประสบโมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์นั้น 
ก่อนที่จะเสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม 
ซึ่งเป็นสถานที่ทรงทำความเพียรจนตรัสรู้ ก็ได้ทรงผ่านกรุงราชคฤห์ 
และประทับอยู่ที่เขา ปัณฑวะ พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ ก็ได้เสด็จไปเพื่อทรงพบ 
และตามเรื่องเล่าว่า พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสถามถึงเหตุที่ทรงออกผนวช
เมื่อได้ทรงตอบแล้ว พระเจ้าพิมพิสารก็ได้รับสั่งชวนให้ทรงลาผนวช 
จะทรงแบ่งราชสมบัติให้ครอบครองครึ่งหนึ่ง 
พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงรับ เมื่อเป็นเช่นนี้ 
พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงขอให้เสด็จกลับมาแสดงธรรมในเมื่อได้ทรงประสบพบธรรมนั้นแล้ว 
ฉะนั้น เมื่อได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว 
จึงได้เสด็จมายังกรุงราชคฤห์ก่อนประเทศหรือนครอื่น

อีกอย่างหนึ่ง ทรงมุ่งจะมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในที่ที่มีความเจริญก่อน 
เพราะวิธีประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น 
จะเห็นได้ว่า ได้ทรงประกาศแก่นักบวช ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมา 
มุ่งดีมา และเป็นผู้คงแก่เรียนมาแล้ว 
ในฝ่ายคฤหัสถ์ก็ทรงมุ่งประกาศแก่บุคคลที่เป็นหัวหน้าคน 
เช่น พระเจ้าแผ่นดิน มหาอำมาตย์ และแก่พราหมณ์คฤหัสถ์ ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียนต่าง ๆ 
เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้ดวงตาเห็นธรรม รับนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว 
คนอื่น ๆ ก็นับถือตามไปด้วยเป็นอันมาก หรือไม่เช่นนั้นก็เกิดความสนใจ 
ตั้งใจที่จะสำเหนียกศึกษาปฏิบัติ 
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงได้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว 
และพระพุทธเจ้าเองก็ทรงปลอดภัยจากบรรดาผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเป็นต้น
เพราะว่าได้ทรงให้บรรดาผู้มีอำนาจเหล่านั้นยอมรับนับถือ 
ทั้งได้ทรงปฏิบัติพระองค์เองไม่ทรงข้องแวะกับการบ้านการเมืองทุก ๆ อย่าง 
ทรงมุ่งประกาศพระพุทธศาสนาไปโดยส่วนเดียว 
ดั่งจะพึงเห็นได้จากพระพุทธประวัติ

เมื่อเสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์นั้น ไม่ได้เสด็จเข้าไปทีเดียว 
ได้ประทับพักที่ ลัฏฐิวัน อันแปลว่า สวนตาลหนุ่ม 
น่าจะเป็นสถานที่สำหรับปลูกเพาะต้นตาล 
พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทรงทราบกิตติศัพท์ คือเสียงที่พูดเล่าลือกันว่า 
พระสมณโคดม ผู้ศักยบุตร ออกผนวชจากศักยตระกูล ได้เสด็จมายังกรุงราชคฤห์ 
เวลานี้ได้พักอยู่ที่ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม 
กิตติศัพท์คือเสียงที่พูดกันระบือถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น 
ได้ฟุ้งขจรไปว่า พระองค์เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า 
ได้ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ศาสนา 
พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริบูรณ์บริสุทธิ์ทั้งหมด ฉะนั้น 
การที่จะได้พบได้เห็นพระอรหันต์เห็นปานนั้นเป็นกิจที่ดีที่ชอบ

โปรดพระเจ้าพิมพิสาร




ครั้นนายอุทยานบาลได้เห็นพระบรมศาสดา
พร้อมด้วยพระขีนาสพ 1,000 เป็นบริวาร ก็มีใจชื่นบานเลื่อมใส
รีบนำเรื่องเข้าไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบแล้ว
ก็ทรงโสมนัสเสด็จออกจากพระนคร
พร้อมด้วยพราหมณ์และคหบดี 12 หมื่นเป็นราชบริพาร
เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังลัฏฐิวันสถาน
ถวายความเคารพในพระรัตนตรัยด้วยพระราชศรัทธา

ส่วนพราหมณ์และคหบดีทั้งหลายนั้น
มีอัธยาศัยแตกต่างกัน บางพวกถวายนมัสการแล้วก็นั่ง
บางพวกก็กล่าวสัมโมทนียกถาถวายความยินดี ในการที่พระบรมศาสดาเสด็จมาสู่พระนครราชคฤห์
บางพวกถวายความยินดีที่มีโอกาสมาเข้าเฝ้า ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บางพวกก็ประกาศชื่อและโคตรของตน
บางพวกก็นั่งเฉยอยู่
บางพวกบางหมู่ก็ปริวิตกจิตคิดไปต่าง ๆ ว่า
พระสมณะโคดมบวชในสำนักท่านอุรุเวลกัสสป
หรือท่านอุรุเวลกัสสปบวชในสำนักพระสมณะโคดม
หรือใครเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน



ลำดับนั้น พระบรมศาสดา ทรงทราบด้วยพระญาณ
ทรงพระประสงค์จะบรรเทาทิฏฐิของราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร
จึงทรงพระดำรัสแก่อุรุเวลกัสสปว่า
“เธอเห็นโทษในการบูชาไฟอย่างไร จึงได้เลิกละการบูชาไฟเสีย”

พระอุรุเวลกัสสปได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นว่า การบูชายัญญ์ทั้งหลายมีความใคร่ในกาม
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นสิ่งที่พอใจ น่าปรารถนา เป็นสมุฏฐาน
เป็นเหตุแห่งความเร่าร้อนเพราะความไม่สมปรารถนาบ้าง
เพราะอารมณ์เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงบ้าง
เพราะอารมณ์เหล่านั้นไม่เป็นไปตามอำนาจบ้าง
ไม่เป็นทางให้สิ้นทุกข์โดยชอบ
ข้าพระองค์จึงได้ละยัญญ์เหล่านั้นเสีย”



ครั้นพระอุรุเวลกัสสปได้กราบทูลดังนั้นแล้ว
มีความประสงค์จะสำแดงตนให้พราหมณ์และคหบดีทั้งหลายรู้ว่าตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงกระทำจีวรเฉวียงบ่า ถวายบังคมพระบรมศาสดา กราบทูลด้วยเสียงอันดังด้วยอาการคารวะว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์เป็นศาสดาของข้าพระองค์
ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า”
และกระทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 7 ชั่วลำตาล
แล้วลงมาถวายบังคมแทบพระยุคลบาท
ประกาศตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยอาการนี้ถึง 7 ครั้ง
ยังความสงสัยของพราหมณ์และคหบดีเป็นราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารทั้ง
หมดในที่นั้น ให้เสื่อมสิ้นไป
พร้อมกับได้ความเลื่อมใสและความอัศจรรย์ในพระบรมศาสดา
ตั้งใจสดับธรรมโดยคารวะ

ลำดับนั้น พระบรมศาสดา จึงทรงแสดงจตุราริยสัจ
โปรดพระเจ้าพิมพิสารและราชบริพาร 11 หมื่น
ให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล อีก 1 หมื่น
ให้ได้ความเลื่อมใสมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัย
เป็นอุบาสกในพระศาสนา



พร ๕ ประการของพระเจ้าพิมพิสาร


เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว
พระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลถวายความยินดีเลื่อมใสแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันยังเป็นขัตติยราชกุมาร อยู่นั้น
หม่อมฉันได้ตั้งความปรารถนาเป็นมโนปณิธานไว้ 5 ข้อ คือ


  1. ขอให้ได้รับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เสวยราชสมบัติในราชอาณาจักรนี้
  2. ขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เสด็จมาสู่แคว้นของหม่อมฉัน
  3. ขอให้หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
  4. ขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงพระกรุณาประทานธรรมเทศนาแด่หม่อมฉัน และ
  5. ขอให้หม่อมฉันได้รู้ทั่วถึงในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทาน


บัดนี้ มโนปณิธานทั้ง 5 ประการ ที่หม่อมฉันตั้งไว้นั้น ได้สำเร็จแล้วทุกประการ
หม่อมฉันมีความโสมนัสเบิกบาน ในพระธรรมเทศนาเป็นอย่างยิ่ง
หม่อมฉันขออาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า
กับทั้งพระสงฆ์สาวกทั้งปวงจงรับภัตตาหารของหม่อมฉันในวันพรุ่งนี้
พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาด้วยพระอาการดุษณีย์
ครั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบว่า พระบรมศาสดา ทรงรับอาราธนาแล้ว
ก็ถวายอภิวาททูลลา พาราชบริพารเสด็จกลับคืนเข้าพระนคร


กำเนิดวัดแรกในพระพุทธศาสนา (เวฬุวันมหาวิหาร)



ครั้นวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก 1,000
เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังพระนครราชคฤห์ เสด็จสู่พระราชนิเวศน์ 
ขึ้นประทับยังพระบวรพุทธาอาสน์ 
พระเจ้าพิมพิสารมหาราช พร้อมด้วยราชบริพารทรงถวายมหาทาน 
อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระหัตถ์ 
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสร็จการเสวยแล้ว 
พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 
“ลัฏฐิวัน ที่ทรงประทับอยู่นั้นเล็ก ทั้งไกลจากชุมนุมชนเกินพอดี 
ไม่สะดวกแก่ผู้มีศรัทธา มีกิจจะพึงไป หม่อมฉันขอถวายพระราชอุทยานเวฬุวันให้เป็นสังฆาราม 
ด้วยเป็นสถานที่กว้างใหญ่ มีเสนาสนะเรียบร้อย ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไกลจากชุมนุมชน เงียบสงัด 
ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน ผู้มีกิจจะพึงไปถึงได้ไม่ลำบาก สมเป็นพุทธาธิวาสอันพระองค์จะทรงประทับ” 
กราบทูลแล้ว ก็ทรงจับพระเต้าทองหลั่งน้ำทักษิโณทก 
ให้ตกลงที่พระหัตถ์พระบรมศาสดา ถวายพระราชอุทยาน เวฬุวันเป็นสังฆาราม 
เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา



พระบรมศาสดาทรงรับพระเวฬุวันเป็นสังฆารามแล้ว
ทรงอนุโมทนา พาพระสงฆ์สาวกเสด็จกลับประทับยังพระเวฬุวันวิหาร 
เป็นที่ประดิษฐานพระศาสนาอันมโหฬารทั้งงามตระการและมั่นคง 
ควรแก่พระภิกษุสงฆ์ซึ่งมาแต่จตุรทิศจะพึงเข้าพำนักอยู่อาศัย 
เป็นความสะดวกสบายแก่สมณะเพศ ที่โลกยกย่องว่าเป็นบุญญเขตควรแก่การบูชา 
มหาชนมีรัศมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา 
หลั่งไหลกันมาสดับธรรมเทศนาเป็นอันมากเป็นอันว่า 
พระบรมศาสดาได้เริ่มประดิษฐานพระศาสนา 
เป็นหลักฐานลงที่พระเวฬุวันวิหาร ณ พระนครราชคฤห์ 
เกียรติศักดิ์เกียรติคุณแห่งพระพุทธศาสนา ได้เริ่มแพร่ไป 
ในประชุมชนตามตำบลน้อยใหญ่เป็นลำดับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น