พุทธประวัติตอน ๑ ศากยวงศ์
ในยุคบรรพกาล ได้มีชนเผ่าเชื้อสายอริยกะหรืออารยันอพยพเข้ามาตั้งรกรากและราชธานี
ณ เชิงเขาหิมาลัย ชนเผ่าที่อพยพเข้ามาในภายหลัง
ก่อนหน้านั้นดินแดนแถบนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมิลักขะ ซึ่งมีความเจริญที่น้อยกว่า พวกอริยกะหรืออารยันเป็นพวกที่นับถือในศาสนาพราหมณ์เคร่งครัด และเชื่อถือในระบบวรรณะอย่างสุดโต่ง
โดยเชื่อว่าวรรณะทั้ง 4 ไม่สามารถที่จะแต่งงานร่วมกันได้ ถ้าแต่งงานบุตรจะกลายเป็นจัณฑาลทันที พวกเขาถือว่าตนยิ่งใหญ่ และบริสุทธิ์กว่าสายเลือดอื่น ๆ จึงแต่งงานด้วยกันเองภายในหมู่พี่น้องและวงศาคณาญาติซึ่งมีอยู่ 2 ตระกูลคือ
ก่อนหน้านั้นดินแดนแถบนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมิลักขะ ซึ่งมีความเจริญที่น้อยกว่า พวกอริยกะหรืออารยันเป็นพวกที่นับถือในศาสนาพราหมณ์เคร่งครัด และเชื่อถือในระบบวรรณะอย่างสุดโต่ง
โดยเชื่อว่าวรรณะทั้ง 4 ไม่สามารถที่จะแต่งงานร่วมกันได้ ถ้าแต่งงานบุตรจะกลายเป็นจัณฑาลทันที พวกเขาถือว่าตนยิ่งใหญ่ และบริสุทธิ์กว่าสายเลือดอื่น ๆ จึงแต่งงานด้วยกันเองภายในหมู่พี่น้องและวงศาคณาญาติซึ่งมีอยู่ 2 ตระกูลคือ
- ศากยวงค์
- โกลิยวงศ์
คือถือตัวจัดด้วยถือว่าชาติตระกูลของตนอยู่ในวรรณะกษัตริย์
อันเป็นวรรณะสูงสุด แม้ในเหล่าวรรณะกษัตริย์ด้วยกัน เจ้าศากยะก็ถือตัวว่ายิ่งใหญ่และบริสุทธิ์โดยสายเลือดกว่าใคร ๆ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าศากยะจึงอภิเษกสมรสกันในหมู่พี่น้องร่วมพระบิดามารดาเดียวกัน หรือในหมู่วงศานุวงศ์ใกล้ชิด เช่น กับราชวงศ์โกลิยะ แห่งกรุงเทวทหะ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกัน
และเพราะความถือตัวจัดนี้เอง ที่ทำให้กรุงกบิลพัสดุด์ถูกทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยอำนาจของพระเจ้าวิฑูฑภะ โอรสพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งสาวัตถี
ซึ่งพระเจ้าวิฑูฑภะเอง ก็ใช่อื่นไกลเป็นพระนัดดาของพระเจ้ามหานามแห่งกรุงกบิลพัสดุ์นั้นเอง
พระองค์ถูกเหยียดหยามจากพระญาติ ถึงขนาดเอาน้ำนมชำระล้างสถานที่ทุกแห่งที่พระองค์ประทับในกรุงกบิลพัสดุ์
ซึ่งพระเจ้าวิฑูฑภะเอง ก็ใช่อื่นไกลเป็นพระนัดดาของพระเจ้ามหานามแห่งกรุงกบิลพัสดุ์นั้นเอง
พระองค์ถูกเหยียดหยามจากพระญาติ ถึงขนาดเอาน้ำนมชำระล้างสถานที่ทุกแห่งที่พระองค์ประทับในกรุงกบิลพัสดุ์
คราวเสด็จเยี่ยมพระญาติ โดยพวกศากยะกรุงกบิลพัสดุ์รังเกียจว่า พระมารดาของพระองค์ไม่ใช่คนวรรณะกษัตริย์
แต่เป็นทาสีซึ่งเป็นคนละวรรณะกับพวกตน
นี่คือชนวนของการทำลายล้างกรุงกบิลพัสดุ์ในเวลาต่อมา
เกี่ยวกับทฤษฏีของชนชาติอารยันของพวกศากยะที่เมืองกบิลพัสดุ์นี้ นักปราชญ์ไทยหลายท่านตั้งข้อสงสัยว่า พวกเขาน่าจะเป็นคนผิวเหลืองเชื้อสายมองโกลอยเหมือนคนไทย มากกว่าที่จะเป็นอารยันแบบแขก เพราะตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือมีชาวเนปาลเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าตัวเองเป็นเชื้อสายศากยะ และหน้าตาพวกเขาก็เป็นคนผิวเหลือง ไม่ใช่แขกอินเดีย แต่ประเด็นนี้คงต้องศึกษากันต่อไป และไม่ควรด่วนสรุป เพราะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้แขกอินเดียเป็นจำนวนมาก ก็มีนามสกุล โคตมะ หรือ เคาตมะ และยังเชื่ออีกว่าพวกเขามีเชื้อสายเดียวกับพระพุทธองค์
ในทัศนะของคนเนปาลเองทุกคนเชื่อเต็มเปี่ยมว่าพระพุทธเจ้าเป็นชายเนปาล
เกี่ยวกับทฤษฏีของชนชาติอารยันของพวกศากยะที่เมืองกบิลพัสดุ์นี้ นักปราชญ์ไทยหลายท่านตั้งข้อสงสัยว่า พวกเขาน่าจะเป็นคนผิวเหลืองเชื้อสายมองโกลอยเหมือนคนไทย มากกว่าที่จะเป็นอารยันแบบแขก เพราะตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือมีชาวเนปาลเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าตัวเองเป็นเชื้อสายศากยะ และหน้าตาพวกเขาก็เป็นคนผิวเหลือง ไม่ใช่แขกอินเดีย แต่ประเด็นนี้คงต้องศึกษากันต่อไป และไม่ควรด่วนสรุป เพราะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้แขกอินเดียเป็นจำนวนมาก ก็มีนามสกุล โคตมะ หรือ เคาตมะ และยังเชื่ออีกว่าพวกเขามีเชื้อสายเดียวกับพระพุทธองค์
ในทัศนะของคนเนปาลเองทุกคนเชื่อเต็มเปี่ยมว่าพระพุทธเจ้าเป็นชายเนปาล
ไม่ใช่อินเดีย เพราะพระองค์เกิดในฝั่งเนปาล ไม่ใช่อินเดีย ซึ่งเป็นความจริงอยู่ไม่น้อย เพราะว่าตามสถานที่ประสูติแล้ว ลุมพินีและกบิลพัสดุ์ ก็ล้วนแล้วอยู่ในฝั่งเนปาล
แต่เมื่อก่อนคำว่า อินเดีย เนปาลยังไม่เกิด มีแต่คำว่าชมพูทวีป
พระพุทธองค์ใช้ชีวิตส่วนมากที่ฝั่งอินเดีย เพราะขณะที่พระชนม์ชีพอยู่ เมืองกบิลพัสดุ์ของพระองค์ก็ร้างแล้ว
และเขตแดนกปิลพัสดุ์ลุมพินีก็ยังอยู่ในฝั่งอินเดีย
จนอังกฤษเข้าปกครองอินเดียและยกให้เนปาลเมื่อ พ.ศ.2395 มานี้เอง
ต้นตระกูลของวงศ์ศากยะ คือ พระเจ้าโอกากราช กษัตริย์ผู้ทรงมีพระยศใหญ่ผู้สืบเชื้อสายมาจากต้นปฐมกษัตริย์แห่งศากยะ ซึ่งกล่าวไว้ว่าสืบต่อสัตติวงศ์เป็นปฐมตามลำดับมาถึง 11 พระองค์ แล้วแตกขยายวงศ์ออกไปอีกถึง 84,000 พระองค์ เรียงลำดับมาถึงพระเจ้าโอกากราช ที่ 3 จึงทรงมีพระราชโอรสและธิดารวมกัน 9 พระองค์ ซึ่งโอรสและธิดาทั้ง 9 พระองค์มาจากพระมารดาองค์ใหญ่ โดยเมื่อพระมเหษีองค์ใหญ่เสด็จสวรรคต
ต้นตระกูลของวงศ์ศากยะ คือ พระเจ้าโอกากราช กษัตริย์ผู้ทรงมีพระยศใหญ่ผู้สืบเชื้อสายมาจากต้นปฐมกษัตริย์แห่งศากยะ ซึ่งกล่าวไว้ว่าสืบต่อสัตติวงศ์เป็นปฐมตามลำดับมาถึง 11 พระองค์ แล้วแตกขยายวงศ์ออกไปอีกถึง 84,000 พระองค์ เรียงลำดับมาถึงพระเจ้าโอกากราช ที่ 3 จึงทรงมีพระราชโอรสและธิดารวมกัน 9 พระองค์ ซึ่งโอรสและธิดาทั้ง 9 พระองค์มาจากพระมารดาองค์ใหญ่ โดยเมื่อพระมเหษีองค์ใหญ่เสด็จสวรรคต
จึงได้เกิดแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าโอกากราชที่ 3 จึงได้ตัดสินพระทัยยกราชสมบัติทั้งหมดนั้นให้แก่พระโอรสของพระมเหษีองค์ใหม่ ส่วนโอรสธิดาทั้ง 9 พระองค์นั้นก็ให้เสด็จออกจากเมืองไปตั้งพระนครแห่งใหม่ที่กลางป่าสักกะ ซึ่งบริเวณป่าสักกะนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีกบิล หรือกบิลฤาษี โดยการตั้งนครแห่งใหม่นี้ได้ถูกขนานนามว่า “กบิลพัสดุ์” ตามชื่อของกบิลฤาษีนั้น และโดยธรรมเนียมโบราณนั้นการสมรสนอกราชตระกูล ไม่เป็นประเพณีนิยมทั้งนี้เพื่อการรักษาความบริสุทธิ์แห่งสายโลหิต
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ต้นตระกูลของศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช
และแบ่งออกเป็น 2 เมือง 2 ตระกูล คือ เมืองกบิลพัสดุ์ เป็นนครหลวงของแคว้นสักกะ และเมืองเทวทหะเป็นนครหลวงของแคว้นโกลิยะ ดังมีโครงสร้างดังนี้
ฝ่ายศากยวงศ์พระเจ้าชัยเสนมีพระราชโอรสและธิดา 2 พระองค์ คือ
ฝ่ายโกลิยวงศ์มีพระราชาที่ไม่ปรากฏนาม มีโอรส 1 และธิดา 1 คือ
พระเจ้าสีหนุแห่งศากยวงศ์อภิเษกสมรสกับพระนางกาญจนาแห่งโกลิยวงศ์มีพระโอรสและธิดารวม 7 พระองค์คือ
และต่อมาหลังพระนางสิริมหามายาสวรรคต พระองค์อภิเษกสมรสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระโอรสและธิดา 2 พระองค์คือ
พระเจ้าสุปปพุทธะแห่งโกลิยวงศ์ได้อภิเษกสมรสกับพระนางอมิตาแห่งศากยวงศ์มีพระโอรสธิดารวม 2 พระองค์คือ
พระเจ้าสุกโกทนะแห่งศากยวงศ์อภิเษกสมรสกับพระนางกิสาโคตมี มีพระโอรสหนึ่งพระโอรส 1 พระองค์คือ เจ้าชายอานนท์
พระเจ้าอมิโตทนะแห่งศากยวงศ์ มีพระโอรสธิดารวม 3 พระองค์คือ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระศาสดาของเราทั้งหลายได้เสด็จมาอุบัติขึ้นในพวกอริยกชาติ ในจังหวัดมัชฌิมชนบท ชมพูทวีป แคว้นสักกะ ในสกุลกษัตริย์พวกศากยะผู้โคตมโคตร เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนศากยะเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ กับพระนางมายา ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
ฝ่ายศากยวงศ์พระเจ้าชัยเสนมีพระราชโอรสและธิดา 2 พระองค์ คือ
- พระเจ้าสีหนุ
- พระนางยโสธรา
ฝ่ายโกลิยวงศ์มีพระราชาที่ไม่ปรากฏนาม มีโอรส 1 และธิดา 1 คือ
- พระเจ้าอัญชนะ
- พระนางกาญจนา
พระเจ้าสีหนุแห่งศากยวงศ์อภิเษกสมรสกับพระนางกาญจนาแห่งโกลิยวงศ์มีพระโอรสและธิดารวม 7 พระองค์คือ
- พระเจ้าสุทโธทนะ
- พระเจ้าสุกโกทนะ
- พระเจ้าอมิโตทนะ
- พระเจ้าโธโตทนะ
- พระเจ้าฆนิโตทนะ
- พระนางปมิตา
- พระนางอมิตา
- พระเจ้าสุปปพุทธะ
- พระเจ้าทัณฑปาณิ
- พระนางสิริมหามายา
- พระนางมหาปชาบดีโคตมี
และต่อมาหลังพระนางสิริมหามายาสวรรคต พระองค์อภิเษกสมรสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระโอรสและธิดา 2 พระองค์คือ
- เจ้าชายนันทะ
- เจ้าหญิงรูปนันทา
พระเจ้าสุปปพุทธะแห่งโกลิยวงศ์ได้อภิเษกสมรสกับพระนางอมิตาแห่งศากยวงศ์มีพระโอรสธิดารวม 2 พระองค์คือ
- เจ้าชายเทวทัต
- พระนางยโสธรา (พิมพา)
พระเจ้าสุกโกทนะแห่งศากยวงศ์อภิเษกสมรสกับพระนางกิสาโคตมี มีพระโอรสหนึ่งพระโอรส 1 พระองค์คือ เจ้าชายอานนท์
พระเจ้าอมิโตทนะแห่งศากยวงศ์ มีพระโอรสธิดารวม 3 พระองค์คือ
- เจ้าชายมหานาม
- เจ้าชายอนุรุทธะ
- เจ้าหญิงโรหิณี
ปู่, ตา = พระอัยกา หรือ พระอัยกะ
ย่า, ยาย = พระอัยยิกา หรือ พระอัยกี
ปู่ทวด, ตาทวด = พระปัยกา หรือ พระปัยกะ
ย่าทวด, ยายทวด = พระปัยยิกา
พ่อ = พระชนก, พระราชบิดา
แม่ = พระชนนี, พระราชมารดา
พ่อตา, พ่อสามี = พระสสุระ
แม่ยาย, แม่สามี = พระสัสสุ, พระสัสสู
ลุง (พี่ชายของพ่อ), อาชาย (น้องชายของพ่อ) = พระปิตุลา, พระปิตุลา, พระบิตุลา, พระบิตุละ
ป้า (พี่สาวของพ่อ), อาหญิง (น้องสาวของพ่อ) = พระปิตุจฉา
ลุง (พี่ชายของแม่), น้าชาย (น้องชายของแม่) = พระมาตุลา, พระมาตุละ
ป้า (พี่สาวของแม่), น้าหญิง (น้องสาวของแม่) = พระมาตุจฉา
สามี = พระสวามี, พระภัสดา
ภรรยา = พระมเหสี, พระชายา
พี่ชาย = พระเชษฐา
พี่สาว = พระเชษฐภคินี
น้องชาย = พระอนุชา
น้องสาว = พระขนิษฐา
ลูกชาย = พระราชโอรส, พระเจ้าลูกยาเธอ
ลูกสาว = พระราชธิดา, พระเจ้าลูกเธอ
ลูกเขย = พระชามาดา
ลูกสะใภ้ = พระสุณิสา
หลานชาย, หลานสาว = พระราชนัดดา
เหลน = พระราชปนัดดา
หลาน คือ ลูกของพี่สาวหรือน้องสาว = พระภาคิไนย
หลาน คือ ลูกของพี่ชาย หรือน้องชาย = พระภาติยะ
จบความเป็นมาของศากยวงศ์
พระเจ้าปเสนทิ พระราชาแห่งแคว้นโกศล
มีความนับถือศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ต้องการจะผูกสัมพันธ์เป็นญาติกับพระพุทธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง
จึงต้องการเจ้าหญิงสักคนจากศากยวงศ์มาอภิเษกสมรส
เมื่อแจ้งความประสงค์นี้ไปทางศากยวงศ์
ก็ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหญิงในศากยวงศ์เหลืออีก
เพราะแต่งงานและออกบวชแทบหมด ยังมีเหลือเจ้าหญิงคนหนึ่ง
ชื่อ วาสภขัตติยา ซึ่งเป็นธิดา(ลูกสาว) ของเจ้าชายมหานามะ
ซึ่งเป็นโอรส(ลูกชาย) ของพระเจ้าอมิโตทนะ
ซึ่งเป็นน้องชายคนหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะ (หรือเป็นน้าชายของพระพุทธเจ้า)
ดังนั้นเจ้าชายมหานามะ ก็คือลูกพี่ลูกน้องของพระพระพุทธเจ้า
ทำนองเดียวกับพระอานนท์ และพระอนุรุทธะ
และพระนางโรหิณี
(คือ พระเจ้าอมิโตทนะ มีลูกชาย 2 คน และ ลูกสาว 1 คน
คือ พระเจ้ามหานามะ พระอนุรุทธะ พระนางโรหิณี)
แต่ว่า เจ้าหญิงวาสภขัตติยา คนนี้
แต่ว่า เจ้าหญิงวาสภขัตติยา คนนี้
ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าชายมหานามะ
มีแม่เป็นทาสซึ่งไม่ใช่วรรณะกษัตริย์
ดังนั้นเจ้าหญิงวาสภขัตติยา จึงเป็นวรรระจัณฑาล
ทางศากยวงศ์ ในเมื่อไม่อาจจะหาเจ้าหญิงอื่นๆได้
ทางศากยวงศ์ ในเมื่อไม่อาจจะหาเจ้าหญิงอื่นๆได้
ก็เลยเอาเจ้าหญิงวาสภขัตติยา ส่งไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล
แล้วปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
เจ้าหญิงวาสภขัตติยา เมื่อไปเป็นมเหสีคนหนึ่งของพระเจ้าปเสนทิแล้ว
เจ้าหญิงวาสภขัตติยา เมื่อไปเป็นมเหสีคนหนึ่งของพระเจ้าปเสนทิแล้ว
จึงได้ลูกชายออกมาคนหนึ่ง ชื่อ เจ้าชายวิฑูทภะ
ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะ เติบใหญ่เป็นวัยรุ่น
ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะ เติบใหญ่เป็นวัยรุ่น
ก็คิดถึงญาติๆที่เป็นศากยวงศ์ จึงเสด็จไปเยี่ยมญาติที่กรุงกบิลพัศดุ์
ตอนกลับออกมาลืมสิ่งของบางอย่างไว้
จึงรับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งกลับไปเพื่อเอาของที่ลืมนั้น
ตอนที่อำมาตย์กลับไป ก็เห็นพวกคนใช้กำลังเอาน้ำนมล้างทำความสะอาดบริเวณนั้น
พร้อมกับบ่นว่า เพราะคนจัณฑาลเข้ามาในบริเวณนี้
ทำให้พวกเราต้องเหนื่อยเอาน้ำนมมาล้าง
อำมาตย์นั่นก็แกล้งถามว่าใครคือคนจัณฑาลที่เข้ามา
พวกคนใช้ที่กำลังเช็ดถูอยู่นั่น ก็ตอบว่า ก็เจ้าชายวิฑูทภะนั่นไง เป็นคนจัณฑาล
เพราะมีแม่เป็นทาส
อำมาตย์นั่นกลับมาจึงเอาเรื่องนี้มาทูลเล่าให้เจ้าชายวิฑูทภะฟัง
เจ้าชายจึงเกิดความโกรธแค้นต่อศากยวงศ์อย่างสุดๆ
ที่ถูกเหยียดหยามอย่างสุดๆครั้งนี้
ตั้งใจไว้ว่า เมื่อได้เป็นกษัตริย์เมื่อใด
จะยกกองทัพมาทำลายศากยวงศ์ให้สิ้นซาก
เมื่อเจ้าชายวิฑูทภะกลับมา ก็กราบทูลเรื่องนี้ต่อพระราชบิดา(พ่อ) คือพระเจ้าปเสนทิ
เมื่อพระเจ้าปเสนทิรับทราบเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร แต่มีข้อสงสัยข้องใจอยู่บ้าง
จึงไปกราบทูลถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงทรงตอบว่า เรื่องการนับเชื้อสายของบุตรธิดา
เขาถือว่าทางฝ่ายบิดาเป็นใหญ่มาแต่โบราณ
ดังนั้น เจ้าชายวิฑูทภะ ก็ยังถือว่าเป็นเชื้อสายกษัตริย์ นั่นแหละ ไม่ใช่จัณฑาล
พระเจ้าปเสนทิ ก็ทรงหายข้องใจ
แต่ในใจของพระเจ้าวิฑูทภะ ไม่หาย ยังคงเก็บความแค้นไว้เท่าเดิม
ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ต่อจากพระบิดา
ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ต่อจากพระบิดา
จึงได้ยกกองทัพไปทำลายศากยวงศ์
ซึ่งการยกไป 2 ครั้งแรก ก็ถูกพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงขัดขวางไว้ จึงยินยอมยกทัพกลับ
แต่ยังยกทัพไปอีกครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จไปอีก เพราะทรงพิจารณาเห็นกรรมเก่าแต่อดีตชาติของพวกศากยวงศ์
ที่เคยทำกรรมไปฆ่าสัตว์พร้อม ๆ กัน
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่อดีตกรรมนั่นจะมาส่งผล
มาทำลายชีวิตพวกศาสยวงศ์กลุ่มนี้
พระพุทธเจ้าจึงทรงนิ่งเฉยในครั้งนี้
กองทัพของพระเจ้าวิฑูทภะ (ซึ่งก็คือมีศักดิ์เป็นหลานของพระพุทธเจ้า)
กองทัพของพระเจ้าวิฑูทภะ (ซึ่งก็คือมีศักดิ์เป็นหลานของพระพุทธเจ้า)
จึงยกกองทัพไปทำลายล้างศากยวงศ์ เกือบหมด มีบางส่วนรอดมาได้
สำหรับคนที่เอาหญ้ามาคาบไว้ในปาก เมื่อถูกทหารของวิฑูทภะถามว่า
"เจ้าเป็นศากยวงศ์หรือไม่" ก็ตอบว่า "ไม่ใช่ หญ้า"
เพราะนิสัยของพวกศากยวงศ์จะไม่ยอมพูดโกหก
ในเมื่อต้องโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด จะพูดตรงๆก็ไม่ได้จึงใช้วิธีนี้เลี่ยงไป
ส่วนที่เหลือนอกนั้น โดนสังหารเรียบ
ตั้งแต่บัดนั้น ศากยวงศ์ถือว่าสูญสิ้น
ที่สืบต่อมาจากผู้ที่รอดบางส่วนก็เป็นฐานะชาวบ้านธรรมดาๆ
พวกศากยวงศ์ที่รอดมานี้ ในประมาณ 200 ปี ต่อมา
พวกศากยวงศ์ที่รอดมานี้ ในประมาณ 200 ปี ต่อมา
มีคนหนึ่งซึ่งหนีไปอยู่ต่างแดน ได้ไปรับราชการกับกษัตริย์ที่แคว้นหนึ่งทางทิศตะวันตก
(แคว้นราชสถานในยุคนี้) กษัตริย์ของแคว้นนั้นในตอนนั้นชื่อพระเจ้าเปารยะ
ศากยวงศ์คนนี้ชื่อ จันทรคุปต์ ได้เติบใหญ่จนได้เป็นเสนาบดีของพระเจ้าเปารยะ
เมื่อสิ้นพระเจ้าเปารยะ จันทรคุปต์จึงตั้งตนเป็นกษัตริย์ ตั้งวงศ์กษัตริย์ชื่อว่า โมริยวงศ์ขึ้นมา
(โมริยะ แปลว่า นกยูง)
พระเจ้าจันทรคุปต์มีลูกชื่อว่า พระเจ้าพินทุสาร
พระเจ้าพินทุสารมีลูกชื่อว่า อโศก ซึ่งก็คือพระเจ้าอโศกมหาราช
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธหลังยุคพุทธกาลนั่นเอง
นั่นคือ ถ้าสืบย้อนกลังไปพระเจ้าอโศกมหาราช
ก็คือคนที่สืบเชื้อสายมาจากศากยวงศ์นั่นเอง
พระเจ้าเปารยะ สิ้นพระชนม์ในการต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์มหาราช
พระเจ้าเปารยะ สิ้นพระชนม์ในการต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์มหาราช
จากกรีก ที่ยกกองทัพมาบุกอินเดีย ตอนนั้น
แต่เมื่อมาถึงยุคของพระเจ้าจันทรคุปต์
ได้ต่อต้านกองทัพกรีกอย่างเข้มแข็ง
จนพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์ถอดใจ ยกทัพกลับ
และไปสิ้นพระชนม์ที่อียิปต์ในปีต่อมา
ดังนั้น ก็ถือได้ว่า ที่อินเดียรอดพ้นจากการครอบงำของกรีกในยุคนั้นมาได้
ดังนั้น ก็ถือได้ว่า ที่อินเดียรอดพ้นจากการครอบงำของกรีกในยุคนั้นมาได้
เพราะผลงานการต่อต้านของพระเจ้าจันทรคุปต์ ปู่ของพระเจ้าอโศกฯ นั่นเอง
เมื่อพระเจ้าวิฑูทภะ ทำลายศากยวงศ์สมใจอยากแล้ว
เมื่อพระเจ้าวิฑูทภะ ทำลายศากยวงศ์สมใจอยากแล้ว
ตอนยกทัพกลับ ได้ไปตั้งกองทัพพักผ่อนริมแม่น้ำ
ก็เลยโดนน้ำท่วมตายหมดทั้งกองทัพรวมทั้งพระเจ้าวิฑูทภะด้วย
จบสาเหตุที่ศากยวงศ์ล่มสลาย
จบสาเหตุที่ศากยวงศ์ล่มสลาย
พุทธประวัติที่กล่าวถึงศากยวงศ์
การเกิดแห่งวงศ์สากยะ
พระเจ้าอุกการาช ปรารถนาจะยกราชสมบัติประทานแก่โอรสของพระมเหสีที่โปรดปรานต้องพระทัย
จึงได้ทรง ขับราชกุมารผู้มีชนมายุแก่กว่า
คือเจ้า อุกกามุข, กรกัณฑุ, หัตถินีกะ, สินีปุระ,
ออกจากราชอาณาจักร ไปตั้งสํานักอยู่ ณ ป่าสากใหญ่ ใกล้สระ โบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์
เธอเหล่านั้น กลัวชาติจะระคนกัน
จึงสมสู่กับ พี่น้องหญิงของเธอเอง.
ต่อมาพระเจ้าอุกการาชตรัสถามอํามาตย์ว่า
“บัดนี้ กุมารเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?”
กราบทูลว่า บัดนี้กุมารเหล่านั้นเสด็จอยู่ ณ ป่าสากใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้สระโบกขรณีข้างภูเขาหิมพานต์พระกุมารทั้งหลายกลัวชาติระคนกัน จึงสมสู่กับภคินีของตนเอง.
ความตอนนี้ ตรัสแก่อัมพัฏฐะมาณพ ศิษย์พราหมณ์โปกขรสาติ ที่ป่าอิจฉานังคละ.
ความตอนนี้ ตรัสแก่อัมพัฏฐะมาณพ ศิษย์พราหมณ์โปกขรสาติ ที่ป่าอิจฉานังคละ.
บาลี อัมพัฏฐสูตรที่ ๓ สี. ที.๙/๑๒๐/๑๔๙
ขณะนั้น พระเจ้าอุกกากราชทรงเปล่งพระอุทานว่า
ขณะนั้น พระเจ้าอุกกากราชทรงเปล่งพระอุทานว่า
“กุมารผู้อาจหาญ หนอ, กุมารผู้อาจหาญอย่างยิ่งหนอ”.
เพราะเหตุนั้นเป็นเดิม จึงเป็นพวก ที่ได้ชื่อว่า “สากยะ” สืบมา....
ชื่อนี้มีมูลมาจากต้นสากก็ได้,แห่งคําว่ากล้าหาญก็ได้,
เพราะสักก-กล้าหาญ, สักกเราเรียกในเสียงภาษาไทยกันว่า สากยะ,
เรื่องเกิดวงศ์สากยะมีกล่าวไว้อย่างพิสดารในอรรถกถาของอัมพัฎฐสูตรนี้เอง
เช่นเรื่องไม้กะเบาเป็นต้น จะกล่าวในโอกาสหลัง.
....วาเสฏฐะ ! พระราชา ปเสนทิโกศล ย่อมทราบว่า 'พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยม บวชแล้วจากสากยตระกูล'. วาเสฏฐะ ! ก็แหละพวกสากยะ ท. เป็นผู้อยู่ใกล้ชิด และอยู่ในอำนาจของพระราชาปเสนทิโกศล. วาเสฏฐะ ! ก็พวกสากยะ ท. ย่อมทำการต้อนรับ, ทำการอภิวาท ลุกขึ้นยืนรับ ทำอัญชลีกรรมและสามีจิกรรม ในพระราชาปเสนทิโกศล. วาเสฏฐะ ! พวกสากยะกระทำการต้อนรับเป็นต้น แก่พระราชาปเสนทิโกศลอย่างไร, พระราชาปเสนทิโกศลย่อมกระทำการต้อนรับเป็นต้นแก่ตถาคต (เมื่อออกบวชแล้ว) อย่างนั้น.
**ความข้อนี้เราไม่อยากจะเชื่อกันโดยมากว่าจะเป็นอย่างนี้โดยที่เราไม่อยากให้ตระกูลของพระองค์เป็นเมืองขึ้นของใคร แต่พระองค์เองกลับตรัสตรงไปทีเดียวว่าเป็นเมืองขึ้นของโกศล, ต้องนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. แต่เมื่อพระองค์ออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว. พระเจ้าปเสนทิโกศลกลับทำตรงกันข้าม คือนอบน้อมต่อพระองค์ เช่นเดียวกับที่พวกสากยะเคยนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. บาลีตรงนี้ คือ รญฺโ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส อนนฺตรา อนุยนฺตา. คำว่า อนุยนฺตา อรรถกถาแก้ดังนี้ อนุยนฺตาติ วสวตฺติโน, (สุมัง. ๓, น.๖๒), แปลว่า อยู่ในอำนาจ.**
บาลี อัคคัญญสูตร ปา. ที. ๑๑/๙๑/๕๔.
ตรัสแก่วาเสฏฐะกับเพื่อน.
พวกสากยะอยู่ใต้อำนาจพระเจ้าโกศล
....วาเสฏฐะ ! พระราชา ปเสนทิโกศล ย่อมทราบว่า 'พระสมณโคดมผู้ยอดเยี่ยม บวชแล้วจากสากยตระกูล'. วาเสฏฐะ ! ก็แหละพวกสากยะ ท. เป็นผู้อยู่ใกล้ชิด และอยู่ในอำนาจของพระราชาปเสนทิโกศล. วาเสฏฐะ ! ก็พวกสากยะ ท. ย่อมทำการต้อนรับ, ทำการอภิวาท ลุกขึ้นยืนรับ ทำอัญชลีกรรมและสามีจิกรรม ในพระราชาปเสนทิโกศล. วาเสฏฐะ ! พวกสากยะกระทำการต้อนรับเป็นต้น แก่พระราชาปเสนทิโกศลอย่างไร, พระราชาปเสนทิโกศลย่อมกระทำการต้อนรับเป็นต้นแก่ตถาคต (เมื่อออกบวชแล้ว) อย่างนั้น.
**ความข้อนี้เราไม่อยากจะเชื่อกันโดยมากว่าจะเป็นอย่างนี้โดยที่เราไม่อยากให้ตระกูลของพระองค์เป็นเมืองขึ้นของใคร แต่พระองค์เองกลับตรัสตรงไปทีเดียวว่าเป็นเมืองขึ้นของโกศล, ต้องนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. แต่เมื่อพระองค์ออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว. พระเจ้าปเสนทิโกศลกลับทำตรงกันข้าม คือนอบน้อมต่อพระองค์ เช่นเดียวกับที่พวกสากยะเคยนอบน้อมต่อพระเจ้าปเสนทิ. บาลีตรงนี้ คือ รญฺโ ปเสนทิสฺส โกสลสฺส อนนฺตรา อนุยนฺตา. คำว่า อนุยนฺตา อรรถกถาแก้ดังนี้ อนุยนฺตาติ วสวตฺติโน, (สุมัง. ๓, น.๖๒), แปลว่า อยู่ในอำนาจ.**
บาลี อัคคัญญสูตร ปา. ที. ๑๑/๙๑/๕๔.
ตรัสแก่วาเสฏฐะกับเพื่อน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น